Sexy Girls Video Clip Gossip Stars

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หวัดดุชนิดใหม่ชิดซ้าย 'เอดส์กลายพันธุ์' อันตราย 'ร้ายตัวจริง'


ขณะที่ “ไวรัส” ก่อโรคไข้หวัดใหญ่ กำลังเขย่าขวัญชาวโลก อันเนื่องจากการ “กลายพันธุ์” เจ้าไวรัสที่ก่อโรคร้ายอีกชนิดหนึ่งก็เพิ่มดีกรีคุกคามชีวิตมนุษยชาติ โดยเริ่มที่ไทย มากขึ้น-ร้ายขึ้น อย่างเงียบเชียบ...

กว่าจะถูกค้นพบและเป็นข่าวขึ้นมา...ก็น่ากลัวยิ่งขึ้นแล้ว...

มันคือ “ไวรัสเอดส์กลายพันธุ์” ที่ร้ายกว่าไวรัสหวัดใหญ่ !!

“เอดส์ (AIDS)” หรือ “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” ซึ่งเกิดจากการ ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เดิมก็มีมากกว่า 1 สายพันธุ์อยู่แล้ว ล่าสุด ทีมวิจัยโรงพยาบาลศิริราชได้ตรวจพบหญิงไทย 2 รายติดเอดส์สายพันธุ์ผสม “สายพันธุ์ใหม่” ที่ไม่เคยพบมาก่อน อีกทั้งยังพบถึง 2 สายพันธุ์ใหม่ คือ สายพันธุ์เอจี/ดี (AG/D) และ สายพันธุ์เออี/จี (AE/G) ซึ่งที่ผ่านมานั้นเอดส์สายพันธุ์จีกับดีส่วนใหญ่จะพบในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในไนจีเรีย ส่วนสายพันธุ์ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นเอ/อี (A/E) ดังนั้น การค้นพบนี้จึงน่ากังวล !!

ทั้งนี้ ข้อมูลจากงานสัมมนาระดับชาติเรื่องโรคเอดส์ ครั้งที่ 12 ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอดส์ทั่วโลกราว 33.2 ล้านคน เป็นผู้ใหญ่ประมาณ 30.8 ล้านคน มีผู้หญิงติดเชื้อ 15.4 ล้านคน เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 2.5 ล้านคน และคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 ล้าน คนทั่วโลก คาดว่าจะมีเด็กวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40

สำหรับในประเทศไทย ในปี 2552 คาดการณ์ว่ามีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ 1,127,168 ราย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มราว 11,753 ราย

กล่าวสำหรับเอดส์ 2 สายพันธุ์ใหม่ที่พบในไทย แม้ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะระบุในเบื้องต้นประมาณว่า “ไม่ได้ร้ายแรงกว่าสายพันธุ์ปกติ” ที่เคยพบ สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่แล้วได้ แต่กระนั้น...การเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น การป้องกันการแพร่ระบาดของเอดส์ในไทย ทั้งสายพันธุ์เดิม และโดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรวมถึงประชาชนคนไทยด้วย

กับเรื่องนี้ รศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ความเข้าใจผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... การพบไวรัสเอชไอวี 2 สายพันธุ์ใหม่ในไทยคือเอจี/ดีกับเออี/จีนั้น ที่จริงก็ถือว่าเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ในกระบวนการทางจุลชีววิทยาการ กลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งกับเอดส์สาย พันธุ์ประจำถิ่นของไทยสายพันธุ์เก่าอย่างเอ/อี และรวมถึงสายพันธุ์บี (B) จะว่าไปแล้วสายพันธุ์เก่าดั้งเดิมอย่างเอ/อีถือว่าน่ากลัวและดุกว่าทั้ง 2 สายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบ

“แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องกังวลก็คือเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์ไปมามากขึ้นไป อีก เพราะอาจจะทำให้เชื้อไวรัสมีประสิทธิภาพในการต่อต้านหรือ ดื้อต่อยาต้านไวรัสมากขึ้น !!”

หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา ม.มหิดล แจกแจงถึงระดับความรุน แรงของเชื้อเอชไอวีแต่ละสายพันธุ์ ต่อไปว่า... ในอดีตการระบุความรุนแรงของเอดส์แต่ละสายพันธุ์ จะดูที่ “อัตราการเสียชีวิต” จากระยะเวลานับตั้งแต่ผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกาย โดยสายพันธุ์เอ/อีจะเป็นสายพันธุ์ที่ดุกว่าสายพันธุ์บี คือ เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะมีอัตราการเสียชีวิตภายใน 8 ปี ขณะที่สายพันธุ์บีอยู่ที่ 11 ปี นับตั้งแต่รับเชื้อเข้าไป

แต่ในปัจจุบันใช้วิธีเดิมไม่ได้แล้ว “ต้องดูกันที่เรื่องของอัตราการดื้อยา” แทน ซึ่งโดยปกติเอชไอวีตามธรรมชาติจะไม่ดื้อยา แต่จะดื้อยาก็ ต่อเมื่อใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งเมื่อใช้แล้วเกิดการหยุดยา จีโนม หรือส่วนของโครโมโซมในบางตำแหน่งของไวรัส จะเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการดื้อยา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรใช้ยาต้าน เพราะในทางการแพทย์เมื่อแพทย์ผู้รักษาตรวจพบเชื้อก็จำเป็นต้องให้ยาต้าน เพื่อควบคุมการแพร่กระจาย ดังนั้น เป้าหมายในการรักษาด้วยการให้ยาต้านคือการควบคุมจำนวนของเชื้อนั่นเอง

ทั้งนี้ กับเอดส์ 2 สายพันธุ์ใหม่ ในเบื้องต้นทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าการดื้อยาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% เช่นเดียว กับสายพันธุ์เดิม อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.วสันต์ชี้ว่า... ถ้าเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างกันไปมา และระหว่างสายพันธุ์เก่าดั้งเดิม (สาย พันธุ์เอ/อี กับสายพันธุ์บี) เชื้อก็อาจจะมีประสิทธิภาพในการต่อต้านยาหรือดื้อยามากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นที่ว่านี้ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง !!

“เพราะเมื่อเกิดการแพร่กระจาย ก็จะไม่สามารถใช้ยาต้านสูตรเก่าได้อีกต่อไป แต่ต้องใช้ยาต้านสูตรใหม่ที่รุนแรงกว่าแทน ซึ่งก็ย่อมจะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งกับตัวผู้ป่วยและภาครัฐที่ดูแลรับผิดชอบ รวมถึงจะมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงยาต้านไวรัสตัวใหม่ด้วย !!”

รศ.ดร.วสันต์ยังระบุทิ้งท้ายอีกว่า... หากเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ไปมาจนในตัวเชื้อเอดส์มีสายพันธุ์มากขึ้น เรื่องนี้จะมีผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งสมมุติว่าค่าใช้จ่ายยาต้านตัวเดิมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ถ้ามีการดื้อยาจากการกลายพันธุ์จนยาตัวเดิมใช้ไม่ได้ ก็ต้องใช้ยา ตัวใหม่ที่จะมีราคาแพงกว่า ซึ่งราคาที่แพงขึ้นจากเดิมนั้น น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-9 เท่า เมื่อย้อนดูสถิติผู้ติดเชื้อ หรือดูแค่เฉพาะจำนวนผู้ที่ได้รับยาต้านอยู่ในปัจจุบันแล้ว (ประมาณ 2 แสนราย) ก็ “ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล”

ลำพังสายพันธุ์เดิม ๆ ก็ “ร้ายสุด ๆ” อยู่แล้ว...ดังที่ทราบกัน

“เอดส์กลายพันธุ์” จึงยิ่งร้าย...หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่น่ะชิดซ้าย

และทั้งเอดส์เก่า-เอดส์ใหม่...ก็ล้วนเป็นเพชฌฆาตทั้งนั้น !!!.

ป้ายกำกับ:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก